วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อุบาสิกาแก้ว

        ทำไมต้องอุบาสิกาแก้ว ?                  

    นั่นสิ...อุบาสิกาแก้ว  ได้ยินมานานแล้ว
คุณหญิงแม่ก็เคยไปอบรมที่วัดพระธรรมกายเกือบทุกครั้ง 

เดือนนี้ ก็จะมีการ "อบรมอุบาสิกาแก้ว"กันอีกครั้งหนึ่ง .....

     

      ซึ่งก็เป็นปกติของที่วัดเคยจัดอะนะ 

      แต่ที่พิเศษ !!!!!   คือการถูกจับตา (ไม่ใช่จับยาย 555 )
ว่าจะเป็นการอิ๊ อ๊ะ มีนัยยะอะไร ซ่อนอะไรในกอไผ่หรือป่าว

ก็ไม่รู้สินะ !!!!


แต่ขนาดเราเข้าวัดมานาน ก็ยังเกิดคำถามเลยว่า 

จริงๆ แล้วอุบาสิกาแก้วคืออะไร ? 
ดีอย่างไร ? 
ทำไมต้องบวช ? 
ทำไมต้องอุบาสิกาแก้ว ? 
และอีก บลา ๆๆๆๆ  

       วันนี้ว่างๆ ก็เลยลอง search หาจาก google และโทรไปถามที่ผู้ประสานงานโครงการ อ้าว...เบอร์พระนี่นา ^^


ได้ความล่ะ เขียนใส่ blog ประเดิมบทความแรกในชีวิต


  อุบาสิกาคือใคร ?

           อุบาสิกา คือ ตำแหน่งของสตรีผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย 
ทำหน้าที่ในการอุปถัมภ์บำรุงและปกป้องคุ้มภัยให้แก่พระพุทธศาสนามาตลอดอายุ พุทธกาล จวบจนถึงปัจจุบันอุบาสิกาก็ยังคงเป็น 1 ใน 4 เสาหลักแห่งความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเหมือนเมื่อครั้งพุทธกาล




 ความสำคัญของอุบาสิกาแก้ว ?

     สตรีสามารถเป็นได้ทั้งแม่ของลูกและแม่ของโลก ดังเช่นเหตุการณ์สำคัญในสมัยพุทธกาลหลายครั้ง


          - นางสุชาดา ได้ถวายข้าวมธุปายาส 49 ก้อนแด่พระบรมโพธิ์สัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารมื้อสำคัญเพื่อบำรุงพระวรกาย จนพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

          - นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะอุปัฏฐายิกา เป็นกองเสบียงคอยอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุอย่างมากมาย และยังเป็นกำลังสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล เป็นต้น

 สตรีจึงเป็นบุคคลสำคัญ ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็น หนึ่งในพุทธบริษัท 4 ที่จะช่วยสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน  ยาวนานต่อไป


แล้วดียังไงนะ อุบาสิกาแก้ว ?


       ปกติเรารู้จักอุุบาสิกาปังๆ ในอดีตไม่กี่คนนะ แต่พอได้ไปอ่านเจออุบาสิกาอีกท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่คอยดูแลเป็นอุปฐายิกาพระภิกษุ เมื่อผลบุญส่งผลให้นางบรรลุธรรม และรู้วาระจิตด้วย ลองอ่านดูนะ


     ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสิกา ชื่อ มาติกมารดา (มา-ติ-กะ-มาน-ดา) อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านริมเชิงเขาลูกหนึ่งในแคว้นสาวัตถี นางเป็นแม่ของผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ ในช่วงเข้าพรรษา นางเห็นคณะสงฆ์ ๖๐ รูป เดินธุดงค์ผ่านมาที่หมู่บ้าน จึงคิดอย่างผู้มี ดวงปัญญาว่า เนื้อนาบุญมาโปรดเราถึงที่แล้ว เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสมบุญอย่างเต็มที่ จึงก้มกราบ ปวารณาว่า "พระคุณเจ้าได้โปรดอยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งนี้เถิด พวกโยมจะคอยถวายอาหารเป็นประจำ" เมื่อคณะสงฆ์รับอาราธนา นางจึงบอกให้คนในหมู่บ้านช่วยกันทำความสะอาดสถานที่แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน เพื่อให้พระภิกษุใช้บำเพ็ญสมณธรรมกัน อีกทั้งอุปัฏฐากดูแลเป็นอย่างดี ดุจเป็นโยมมารดาของพระก็ว่าได้







         ภิกษุเหล่านั้นต่างก็ ไม่ประมาทในการบำเพ็ญสมณธรรม ได้สร้างกติกาในการอยู่ร่วมกันว่า "เพื่อ ให้ไม่เกิดการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ พวกเราควรแยก กันอยู่ แต่ว่าจะมาพบกันในเวลาบิณฑบาตยามเช้าและอุปัฏฐากพระเถระยามเย็น นอกนั้นก็ให้ต่างคน ต่างอยู่ งดการพูดคุยสนทนาต่าง ๆ แต่ถ้ารูปใดเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ให้มาตีระฆังบอกใหทราบทั่วกันเพื่อช่วยกันปรุงยาถวายรูปนั้น"





         วันหนึ่งอุบาสิกาพร้อมลูกบ้านได้นำน้ำปานะ มาถวายพระ แต่ไม่พบพระรูปใดเลย คนที่ทราบกติกาสงฆ์ก็ได้บอกนางว่า "ไปตีระฆังสิ เดี๋ยวพระ ท่านก็จะมารวมตัวกันเอง"

         นางก็ใช้ให้คนไปตีระฆัง ภิกษุสงฆ์เมื่อได้ยินเสียงระฆังจึงออกมาจากที่พัก อุบาสิกานึกว่าพระทะเลาะกัน เพราะแต่ละรูปไม่มีใครมาทางเดียวกันเลย จึงถามสาเหตุนั้น พระท่าน ตอบออกไปว่า"โยมแม่ พวกอาตมาแยกกันบำเพ็ญ สมณธรรม " นางสงสัย "สมณธรรมนั้นเป็นอย่างไร"
      "สมณธรรม ก็คือ การทำสมาธิ พิจารณาอาการ ๓๒ ในร่างกายนี้ ว่าเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาให้เห็นความเสื่อมและความสิ้นไป"
       นางถามต่อไปว่า "แล้วโยมสามารถทำสมาธิได้ไหม"  "โยมแม่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้าม ไว้ โยมก็ทำสมาธิได้จ้ะ"  อุบาสิกาจึงได้ขอเรียนการทำสมาธิจากภิกษุสงฆ์ นางตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง จนได้


บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี และยังสามารถรู้วาระจิตคนอื่นได้ด้วย

       วันหนึ่ง  นางได้ตรวจดูการปฏิบัติของเหล่าภิกษุจึงได้รู้ว่า "พระคุณเจ้ายังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย แต่ก็ยังมีอุปนิสัยที่จะเป็นพระอรหันต์ได้"
       นางจึงตรวจดูต่อไปว่า "ไม่ว่าจะเป็นเสนาสนะและบุคคลก็ล้วนเป็นที่สบาย ยังเหลือแต่อาหารเท่านั้นที่จะต้องทำให้เป็นที่สบาย" นางจึงนำอาหารถูกปาก มาถวายพระ เหล่าภิกษุได้อาหารเป็นที่สบายจึงปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์กันหมด จึงพากันสรรเสริญอุปการคุณของอุบาสิกาว่า "ถ้าพวกเราไม่ได้อาหารที่ถูกปาก จากโยมแล้ว การบรรลุธรรมคงเลื่อนออกไปอีกนาน เป็นแน่"




       เมื่อออกพรรษาภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็ลาอุบาสิกา เพื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาและทูลเล่าเรื่องการรู้วาระจิตของอุบาสิกาให้ทรงทราบ ภิกษุรูปหนึ่งได้ยินเรื่องราวของนางก็ยังไม่เชื่อ จึงปรารถนาจะไป พิสูจน์ด้วยตนเอง ท่านได้ทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อ ไปบำเพ็ญสมณธรรมที่หมู่บ้านแห่งนั้น



        พอไปถึงก็ เกิดความคิดขึ้นมาว่า "ใคร ๆ ต่างก็ร่ำลือกันนักว่า อุบาสิกามาติกมารดาสามารถรู้วาระจิตได้ ตอนนี้เรา ยังเหนื่อยกับการเดินทาง ไม่มีแรงทำความสะอาดที่พักเลย 
        ขออุบาสิกาจงส่งคนมาทำความสะอาดด้วยเถิด" อุบาสิกาก็ส่งคนมาทำความสะอาดในทันใด
หรือเมื่อท่านต้องการจะฉันภัตตาหาร เพียงแค่นึก ก็จะมีคนนำมาถวายสมประสงค์ทุกคราวไป
        ต่อมา ภิกษุรูปนี้ต้องการที่จะพบตัวจริงของอุบาสิกา นางก็เดินทางมาให้พบตามประสงค์พร้อม กับนำภัตตาหารรสเลิศมาถวายอีกเช่นเคย พอพระฉันเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า "โยมรู้วาระจิตคนอื่น ได้จริงหรือ" "ลูกเอ๋ย คนที่รู้วาระจิตได้ก็มีถมไปนะ"
"ฉันไม่ได้ถามถึงคนอื่น แต่ถามถึงตัวโยมคนเดียวนั่นแหละ"  นางมิได้บอกตรง ๆ เพียงตอบเลี่ยง ๆ ว่า "ลูกเอ๋ย ธรรมดาคนที่รู้วาระจิตได้ ก็จะทำอย่างนี้ได้" ภิกษุนี้จึงคิดว่า "เรายังเป็นปุถุชน อาจจะมีความคิดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถ้าเราคิดในสิ่งที่ไม่สมควร อุบาสิกาท่านนี้ก็จะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เราควรจะหนี ไปจากที่นี่เสีย" ว่าแล้วก็แอบหลบหนีกลับไปเข้าเฝ้า พระศาสดาพร้อมกับทูลเรื่องราวทุกอย่างให้ทรงสดับ

พระพุทธองค์ก็ประทานโอวาทว่า



"เธอควรกลับไปที่เดิม แต่ว่าเธอจงรักษาสิ่ง ๆ เดียว นั่นก็คือจิตของตัวเอง จงข่มจิตไว้ อย่าคิดถึงสิ่งอื่น ธรรมดาจิตนี้ข่มได้ยาก เพราะมักซัดส่ายไปตามอารมณ์ การมีจิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้"




        ภิกษุผู้นี้ไม่มีทางเลือกอื่น จึงจำต้องกลับไปยังหมู่บ้านนั้นตามเดิม พร้อมกับสำรวมกาย วาจา และ ใจไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป ทางฝ่ายโยมอุบาสิกา นั้นรู้ว่า "พระลูกชายได้รับโอวาทจากอาจารย์แล้วจึงกลับมาหาเราอีกครั้ง" จึงทำหน้าที่เป็นกองเสบียง อย่างดีโดยนำภัตตาหารเลิศรสไปถวาย เพียงไม่กี่วัน พระภิกษุรูปนี้ก็สามารถทำใจหยุดนิ่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านได้รับความสุขอันไม่มีประมาณนี้ จึงดำริขึ้นว่า "น่าขอบใจโยมแม่ของเราเหลือเกิน เราได้อาศัยมหาอุบาสิกานี้เป็นที่พึ่ง จึงสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ได้" จากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสแสดงธรรมเรื่องมรรคผล แก่มหาอุบาสิกาเป็นการตอบแทนนาง ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุธรรมของ ท่าน

ขอบคุณที่มา  http://kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=1192 __________________________________________________________________________________

           อ่านแล้วปลื้มใจจังเลย คุณหญิงแม่จะได้ไปปฏิบัติธรรม เพราะคือโอกาสที่จะได้ฝึกให้ใจหยุดนิ่ง เปิดโอกาสที่จะได้ทำนิพพานให้แจ้ง ใช้เวลาของท่านในช่วงที่เหมาะสม ที่ปลอดกังวลในการดูแลลูกแมว (kitty) อยากเรา
       

        ซึ่งการบวชในครั้งนี้ มีระยะเวลาทั้งสิ้น 7 วัน อุบาสิกาแก้วจะมีโอกาสเรียนรู้ หลาย ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน จะได้ถือศีล 8 ได้เรียนรู้วัฒนธรรมชาวพุทธที่สามารถ นำไปใช้ได้ในชีวิตจริง ได้สวดมนต์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์














Related Posts

อุบาสิกาแก้ว
4/ 5
Oleh

Subscribe via email

Like the post above? Please subscribe to the latest posts directly via email.

1 ความคิดเห็น:

Tulis ความคิดเห็น
avatar
11 พฤษภาคม 2559 เวลา 04:46

เป็นเรื่องราวที่น่าอ่านมาก

Reply