วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

บทที่ 16 สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์ (เขาว่าหลวงพี่เป็น...ผู้มีอิทธิพล The series)

เขาว่าหลวงพี่เป็น...ผู้มีอิทธิพล

โดยพระธาดา จรณธโร 
ประธานมูลนิธิธรรมชาติพิสุทธิ์ (องค์กรสาธารณประโยชน์)
......................................



นายธานินทร์  กรัยวิเชียร



         สมัยเรียนชั้นมัธยม ถ้าจำไม่ผิดประเทศไทยยุคนั้นปกครองโดยรัฐบาลหอยของนายธานินทร์ กรัยวิเชียรซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หนังสือพิมพ์จึงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์อะไรตรงๆได้ เอ่อ..ฟังแล้วคุ้นๆนะ สถานการณ์แบบนี้กับประเทศไทย .. หนังสือพิมพ์ไทยรัฐจึงฉีกแนวด้วยการเอานิยายกำลังภายในมาลงซะเลย ชื่อเรื่องอินทรีย์ผงาดฟ้า แปลโดย น.นพรัตน์ (นักแปลดังอีกคนหนึ่งแห่งยุคคือ ว. ณ เมืองลุง) พระเอกชื่อเต็งพ้ง โอ..ติดกันงอมแงมทั้งบ้านทั้งเมือง รวมถึงหลวงพี่ด้วย ต่อมาไทยรัฐลงอีกเรื่องหนึ่งชื่อหงษ์แดงตะแคงฟ้า นึกว่าฉายกำลังภายในทีเดียวสองเรื่องควบ ที่ไหนได้กลายเป็นเรื่องของทีมฟุตบอลที่ตอนนั้นกำลังรุ่งเรืองสุดขีดคือลิเวอร์พูล


         หลวงพี่นึกไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าสำนักกับเขาเหมือนกัน .. ไม่ใช่เส้าหลิน บู๊ตึง หรือง่อไบ๊ แต่เป็น



"สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์"

  
         ช่วงอบรมอุบาสิกาแก้วนี่เอง พระรูปที่อยู่แม่จันพร้อมกับชาวบ้าน มาชวนให้หลวงพี่ไปดูสำนักสงฆ์ชื่อโรแมนติคแห่งนี้ ท่านรู้ว่าหลวงพี่กำลังหาสถานที่จัดอุปสมบทหมู่รุ่นเข้าพรรษาอยู่ ท่านบรรยายว่าเนื้อที่กว้างขวาง พอกางเต๊นท์ได้เป็นร้อยหลัง ใช้อบรมพระได้สบายๆ ที่สำคัญมีถ้ำด้วย ตรงนี้ทำให้หลวงพี่สนใจมากทีเดียว ก่อนหลวงพี่จะขึ้นมาอุ้มผาง หลวงพี่ได้ไปอยู่ปริวาสที่วัดถ้ำเขาวง อำเภอปากช่อง และชอบบรรยากาศการนั่งสมาธิในถ้ำมาก มันเย็นและเงียบดี 
ภายนอกวัดถ้ำเขาวง
ภายในวัดถ้ำเขาวง

ภายในวัดถ้ำเขาวง


         ก่อนปิดการอบรมหลวงพี่จึงพาอุบาสิกาแก้วไปเปลี่ยนบรรยากาศ ด้วยการพาทุกคนไปเที่ยวแม่จัน เมื่อไปถึงก็พบว่าสำนักสงฆ์แห่งนี้ อยู่ในหมู่บ้านกล้อทอ(ภาษาปากะญอ กล้อ=วัว ทอ=ยาว กล้อทอคือวัวยาว) ส่วนแม่จันเป็นชื่อตำบล เห็นเขาใช้สองคำนี้สลับกันไปมา ไปแม่จันก็คือไปกล้อทอ

         ใครจะเป็นคนตั้งชื่อให้สำนักสงฆ์แห่งนี้ก็ไม่รู้ แต่ถ้าลองกูเกิ้ลคำนี้ดูมักจะไปเจอวัดเขาวงพระจันทร์ที่ลพบุรี เลยสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระที่เคยผ่านลพบุรีและนำชื่อวัดนั้นมาตั้งให้กับสำนักสงฆ์แห่งนี้ ตอนหลังหลวงพี่มีอีกทฤษฎีหนึ่ง เพราะเมื่อดูด้วยแผนที่กูเกิ้ลเอิร์ธที่บริเวณเขาพระบาท (จะเขียนเรื่องเขาพระบาทนี้ในภายหลัง) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั้นพบว่ามันเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวอย่างชัดเจน (อ้อ เต็งพ้งมีอาวุธคู่กายคือดาบโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว!) ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนที่เอาลักษณะของเขาพระบาทที่มองจากอวกาศมาตั้งเป็นชื่อสำนักสงฆ์แห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาทีเดียว

  สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์  


         ด้านใต้ของสำนักสงฆ์นี้อยู่ติดกับภูเขาลูกย่อมๆซึ่งอยู่กลางหมู่บ้านอีกทีหนึ่งมีถนนล้อมรอบ เคยเอา GPS วัดพื้นที่ของภูเขาลูกนี้ได้ประมาณ 15 ไร่ โดยพฤตินัยแล้วภูเขาทั้งลูกนี้เป็นของสำนักสงฆ์ และในภูเขาแห่งนี้แหละที่มีถ้ำ ดูจากสิ่งก่อสร้างแล้ว สำนักสงฆ์แห่งนี้คงมีอายุหลายสิบปี ด้านตะวันตกและด้านเหนือเป็นด้านที่ติดกับหมู่บ้าน ที่สนามหญ้ามีพระยืนลักษณะจำลองมาจากพระประธานที่พุทธมณฑล มีศาลาหลังใหญ่จุคนได้ประมาณเกือบสองร้อยคนอยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือ ทำหลังคาเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่มีบันไดและพื้นชั้นสอง สอบถามได้ความว่าสร้างแทนศาลาหลังเก่าที่มีขนาดเล็กเกินไป มีห้องน้ำอยู่หกเจ็ดห้อง มีโรงครัว มีอาคารเอนกประสงค์ขนาดประมาณ 4x6 เมตรหนึ่งหลังซึ่งมีห้องน้ำเป็นบริวารอยู่ติดๆกัน มีศาลาหลังปานกลางอีกหนึ่งหลังทั้งหมดนี้เรียงรายกันอยู่ทางด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นสนามหญ้ารูปชายธงเพราะถนนด้านเหนือสอบเข้ามาและมีรูปปั้นพระสีวลียืนแบกกลดสะพายบาตรอยู่ ตรงกลางมีถนนสายหลักของสำนักสงฆ์วิ่งในแนวออก-ตก ตรงข้ามกันอีกฝั่งถนนของศาลาหลังปานกลางคือด้านทิศใต้ที่ติดภูเขามีศาลาหลังเล็กข้างในมีพระพุทธรูป และมีรูปปั้นฤาษีซึ่งสะดุดตามากยืนเฝ้าอยู่ ถัดไปอีกนิดทางตะวันตกของศาลาฤาษีมีอาคารสองชั้นสภาพพึ่งโดนไฟไหม้เสียหายมากอยู่หนึ่งหลัง วนกลับไปที่เชิงบันไดขึ้นถ้ำมีศาลาหกเหลี่ยมอยู่สองหลัง เมื่อขึ้นบันไดไปถึงระดับถ้ำมีศาลาหกเหลี่ยมอีกหนึ่งหลังทำหน้าที่เป็นหอระฆัง ทางซ้ายเป็นทางเดินไปถ้ำ ตรงด้านหน้าศาลาหอระฆังนี้มีเจดีย์ขนาดย่อมๆอยู่ 

         สำนักสงฆ์แห่งนี้มีทางเข้าออกหลักอยู่สองทาง คือทางทิศตะวันออกด้านพระสีวลีออกไปเจอถนนที่วิ่งออกมาจากหมู่บ้านและออกไปเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข 1288 ด้านขวามือของถนนจากหมู่บ้านจนถึงถนนใหญ่นี้มีหนองน้ำธรรมชาติอยู่มีขนาดประมาณเกือบหนึ่งไร่ (ภายหลังหลวงพี่เรียกมันว่าหนองน้ำเจ้าปัญหา มันสร้างปัญหาให้หลวงพี่อย่างคิดไม่ถึงทีเดียว) ทางเข้าออกอีกทางหนึ่งคือด้านตะวันตกผ่านหน้าศาลาใหญ่ออกไปหมู่บ้าน เนื้อที่ของสำนักสงฆ์แห่งนี้ถ้าไม่รวมภูเขาแล้วมีประมาณ 4-5 ไร่เท่านั้น

            พระรูปที่บวชมาจากแม่สอดพาชาวบ้านมาต้อนรับหลวงพี่และอุบาสิกาแก้วอย่างอบอุ่นทีเดียว แล้วก็ให้เด็กชาวบ้านพาหลวงพี่มุดถ้ำ ต้องใช้คำว่ามุดจริงๆ ภูเขาลูกนี้เป็นคล้ายจอมปลวกยักษ์ ภายในเป็นถ้ำเล็กถ้ำน้อยเชื่อมถึงกันหมด มีทางเข้าออกหลายทางทำให้อากาศภายในถ้ำถ่ายเทได้ดี จากศาลาหอระฆังเดินเลาะริมเขาไปนิดเดียวก็ถึงปากถ้ำซึ่งค่อนข้างกว้าง นั่งสมาธิได้หลายสิบคน มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ หลังพระพุทธรูปองค์นี้เอง มีช่องทางเข้าไปสู่ภายในภูเขา เสียแต่ว่ามันเป็นช่องแคบที่ต้องคืบคลานเข้าไปเท่านั้น คลานก็คลาน เรื่องอย่างนี้หลวงพี่ไม่ถอยอยู่แล้ว แล้วก็พบว่าหลังช่องแคบนั้นมีโพรงถ้ำใหญ่กว่าถ้ำด้านหน้าเสียอีก ที่พื้นมีมูลค้างคาวเต็มไปหมด แต่ไม่อึดอัดอับชื้น ถ้าปรับปรุงหน่อยเดียวใช้นั่งสมาธิสบายไปเลย มัคคุเทศน์น้อยพาหลวงพี่มุดถ้ำต่อไปอีกจนมาออกอีกทางหนึ่งด้านหลังเขา 

         หลวงพี่ชักชอบสำนักสงฆ์แห่งนี้เสียแล้ว แม้ต้องแลกด้วยระยะทางที่ผ่านป่าเขาอีก 38 กิโลเมตรจากอุ้มผาง แถมไฟฟ้า และคลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี น้ำประปาก็มีปัญหา หลวงพี่มาลองช่างน้ำหนักดูระหว่างการยืมสถานที่ของวัดบนกับการใช้ที่แห่งนี้ แม้พระครูท่านจะเมตตาเพียงไรแต่ท่านก็ต้องปรับกิจวัตรกิจกรรมของท่านเป็นอย่างมาก การอบรมอุบาสิกาแก้วนั้นแค่ 2 อาทิตย์ แต่การอบรมพระใช้เวลาถึง 3-4 เดือน ก็รู้สึกเกรงใจท่าน ถ้าจัดบวชที่แม่จัน อย่างน้อยหลวงพี่ก็รู้สึกว่าพระรูปนี้เป็นพระน้อง เพราะท่านบวชมาจากโครงการบวชแสนของวัดพระธรรมกาย มีท่านอีกรูปหนึ่งก็ช่วยๆอบรมกันไป เมื่อคุยกันท่านก็บอกว่ายินดียกให้เลย แต่หลวงพี่บอกท่านว่า ท่านพบสถานที่นี้ก่อนให้ท่านเป็นเจ้าอาวาส หลวงพี่ขอเป็นผู้ขอยืมใช้เป็นสถานที่จัดบวชพระรุ่นเข้าพรรษาเท่านั้น 

          เรื่องไฟฟ้าและโทรศัพท์นั้น หลวงพี่พอมีทางออกในใจแล้ว หนักใจก็ระบบประปาของหมู่บ้าน ฟังว่าลำพังชาวบ้านใช้กันเองก็ไม่ค่อยเพียงพอแล้ว ถ้าจัดอบรมธรรมทายาทครั้งละหลายสิบรูปคงไม่พอใช้แน่นอน แต่ได้ยินว่าทางเทศบาลยินดีจะเอารถน้ำมาเติมให้ จีงตกลงกันว่าหลวงพี่จะย้ายเข้ามาพักที่สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์ในต้นเดือนพฤษภาคม

          วันนั้นเราแวะเที่ยวดูหนองแดงที่ตีนดอยพระบาท ซึ่งมีปลาบึกอยู่เป็นฝูง แต่ไม่มีเวลาขึ้นดอยพระบาท ขากลับเราแวะไปดูถ้ำประปา คือถ้ำที่ชาวบ้านใช้น้ำไปทำประปาใช้ในหมู่บ้านนั่นเอง และเป็นแหล่งกำเนิดห้วยกล้อทอ (วันหลังจะพาเที่ยวห้วยนี้กันนะ) 



ห้วยกล้อทอ น้ำตกทีลอซูก็อยู่ห้วยนี้ด้วย

          วันแรกที่หลวงพี่ย้ายเข้ามาพักที่สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์นั้น หลวงพี่เลือกกางเต๊นท์พักที่ศาลาหกเหลี่ยมริมเขาติดบันไดที่เดินขึ้นถ้ำ ส่วนพระรูปนั้นกับสามเณรลูกหลานชาวบ้านที่บวชภาคฤดูร้อนสี่ห้ารูปพักกันอยู่ในอาคารเอนกประสงค์ แต่เดิมท่านพักกันในกุฏิไฟไหม้ ภายหลังศาลาหลังนี้ใช้เป็นที่เก็บปูนด้วย หลวงพี่จำวัตรอยู่ใกล้ๆกับถุงปูนอยู่นานทีเดียว ส่วนห้องน้ำต้องเดินข้ามสนามหญ้าไปใช้ที่ข้างศาลาใหญ่ด้านเหนือ โชคดีที่พระทุกรูปที่บวชจากวัดพระธรรมกายจะถูกฝึกมาให้ทนต่อความลำบากตรากตรำ ตอนหลวงพี่อบรมพระนวกะ ต้องกางกลดนอนกลางแจ้งในลานกัลปพฤกษ์ (ซึ่งหลวงพี่เองเป็นหนึ่งในเจ้าภาพร่วมปลูกเมื่อปี 2529 ต่อมาต้นกัลปพฤกษ์ได้ถูกย้ายมาอยู่บริเวณที่เรียกว่าแจ่มจันทร์) อยู่กันเป็นเดือนๆช่วงหน้าฝน ถ้ากางกลดและผ้าพลาสติคไม่ดีหรือเจอที่ลุ่ม เวลาฝนตกได้เปียกมะล่อกมะแล่ก หรือต้องนอนแช่น้ำกันทีเดียว  บางทีก็มีตะขาบมาเกาะมุ้งเป็นเพื่อน อีกทั้งต้องเดินไปไกลมากกว่าจะถึงห้องน้ำ ตอนขึ้นพรรษาสองก็ได้เดินธุดงค์ข้ามเขาใหญ่จากปราจีนบุรีไปปากช่อง แถมช่วงเดินธุดงค์นี้เราฉันกันวันละมื้อเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อมาอยู่ที่เขาวงพระจันทร์หลวงพี่จึงไม่รู้สึกลำบากอะไร 



          ดึกคืนนั้นท้องฟ้าใสไม่มีเมฆหมอก อากาศก็เย็นสบายดีเหลือเกินขนาดเป็นปลายฤดูร้อน หลวงพี่เดินออกมาที่สนามหญ้าแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สิ่งที่ปรากฎต่อสายตาคือท้องฟ้าที่งดงามที่สุด มันคือท้องฟ้าจริงไม่ใช่ท้องฟ้าจำลองอย่างที่หลวงพี่ชอบไปดูที่เอกมัย (ภายหลังได้ยินว่าท้องฟ้าจำลองย้ายไปอยู่ที่คลองห้าแถวธัญญบุรี) หมู่บ้านกล้อทอตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ อย่างมากก็มีแสงจากหลอดไฟที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ตรงนี้ดวง ตรงนั้นดวง ห่างๆกัน ท้องฟ้าจึงมืดสนิทเห็นดาวได้ชัดเจน หลวงพี่พอจำหมู่ดาวหลักๆได้ มองหาไม่นานก็พบดาวเหนือ ซึ่งปกติดาวเหนือนั้นมีความสว่างน้อยและอยู่ใกล้ขอบฟ้า การมองหาดาวเหนือนั้นถ้าไม่ชำนาญและภูมิประเทศกับท้องฟ้าไม่เป็นใจก็ใช่ว่าจะหามันได้ง่ายๆ วินาทีนั้นหลวงพี่ก็บอกตัวเองว่า..ใช่เลย..ประมาณนี้เลย 






.. วับวาวอยู่บนฟ้า นับดาวที่อยู่บนฟ้า นับดาวหมื่นพันดวงทุกคืน ..

          ต่อมาในคืนเดือนมืดคืนหนึ่งในฤดูหนาว บนท้องฟ้ามีดาวเต็มไปหมด มองขึ้นไปก็เห็นเหมือนใครไปทำแป้งหกไว้เป็นทางขาวพาดไปบนท้องฟ้า .. ใช่แล้ว .. ทางช้างเผือก .. หรือพระแม่คงคาสวรรค์ที่กามนิตกับวาสิฏฐีนัดไปพบกันนั่นเอง ..



2 ก.ย. 2559 10:05 
โดยพระธาดา จรณธโร

ประธานมูลนิธิธรรมชาติพิสุทธิ์
(องค์กรสาธารณประโยชน์)




อ่านบทนำ - บทที่ 6ได้ที่ 
http://buddhisthotissue.blogsp ot.jp/2016/08/series_1.html


อ่านบทที่ 7 : ชีวิตคือการเดินทาง ได้ที่

อ่านบทที่ 8 : Been there .. Done that ..
http://buddhisthotissue.blogspot.sg/2016/08/8-been-there-done-that-series.html

อ่านบทที่ 9 : My way
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/08/9-my-way-series.html

อ่านบทที่ 10 : ซาโยนาระ
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/08/10-series.html

อ่านบทที่ 11 : ชีวิตใหม่...ในเพศสมณะ
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/09/11-series.html

อ่านบทที่ 12 : หนีเสือปะจระเข้
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/09/12-series.html

อ่านบทที่ 13 : จากเทือกเขาถนนธงชัยถึงสมุทรสงคราม
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/09/13-series.html

อ่านบทที่ 14 : อุ้มหัวใจไป...อุ้มผาง
http://buddhisthotissue.blogspot.com/2016/09/14-series.html

อ่านบทที่ 15 : อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน รุ่นห้าแสน
http://myalphabet2016.blogspot.com/2016/09/14-series.html

Related Posts

บทที่ 16 สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์ (เขาว่าหลวงพี่เป็น...ผู้มีอิทธิพล The series)
4/ 5
Oleh

Subscribe via email

Like the post above? Please subscribe to the latest posts directly via email.

46 ความคิดเห็น

Tulis ความคิดเห็น
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 05:21

พระอาจารย์บรรยายธรรมชาติได้ชัดเจน เห็นความงามของธรรมชาติค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 05:44

สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์ สวยและมีเสน่ห์อย่างที่พระอาจารย์บรรยายไว้เลยค่ะ อยู่ท่ามกลางหมู่บ้านชาวปวาเกว่อญอ แม้จะอยู่ห่างไกล แต่หากใครได้ไปยล เป็นต้องหลงไหล อากาศก็ดีมากๆ แสงดาวยามค่ำคืนก็สวยงามจับใจ ธรรมชาติรังสรรค์จริงๆค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 05:44

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สาธุ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 05:44 ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:06

สาธุครับ ยอดเยี่ยมเอย.

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:21

สาธุค่ะหลวงพี่เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:28

ถ้อยคำพรรณนาวาจาดีมีศาสตร์ศิลป์..มีจินตนาการก้าวไกล..กลมกล่อมด้วยอรรถรสอันอร่อยครบรส..เจริญจิตใจน่าหลงไหลและอาวรณ์ห่วงหาอาลัย..สุดท้ายจนได้พบกันที่ทางช้างเผือก...ดีมาก

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:31

กราบถวายกำลังใจ..มีความรู้คู่คุณธรรม ได้เป็นแสงสว่างให้กับสัตว์โลกผู้ยังมีธุลีในดวงตา ธรรมมะย่อมชนะอธรรมเสมอค่ะ กราบอนุโมทนาบุญค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:48

กราบอนุโมทนาบุญด้วยเจ้าค่ะสวยงามตามธรรมชาติค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:49

อนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 06:54

#เอ่อ..เขาคงเห็นพอจ.ไปพัฒนาซะน่าอยู่นะสินะเลยเกิดกิเลสอยากได้จับจิตจับใจใครบางคนเลยไล่พระออกจากป่าเสียเลยแหมๆๆ#ตอนรกๆร้างๆไม่มีใครสนใจพอพระจะไปอบรมศีลธรรมเน้าหน่อยคงกลัวคนไทยเป็นคนดีรักษาศีลผู้ปกครองที่บ้าอำนาจเลยถือโอกาสไล่พระซะเลย

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 07:07

กำลังเพลิดเพลิน จบแล้ว ขอบพระคุณพระอาจารย์มากค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 07:29

กำลังสนุกทีเดียวจบละ รอตอนต่อไปค่ะ หลวงพี่คือผู้มีอิทธิพลจริงๆ นะคะ มีอิทธิพลต่อการทำลายล้างกิเลสของเพื่อนมนุษย์ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และมีอิทธิพลต่อคนอ่านอย่างพวกเราที่เฝ้ารอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อค่ะ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 07:30

สาธุครับ น่าไปมาก

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 07:33

ครับสาธุ สาธุ สาธุ สุดยอดครับ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 07:33

ครับสาธุ สาธุ สาธุ สุดยอดครับ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 08:10

สมแล้วคะ ฉายาเจ้าสำนัก สาธุ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 08:57

กราบนมัสการครับ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 09:07

สาธุเจ้าค่ะ สุดยอด

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 09:36

วัดหรือสำนักสงฆ์ที่สร้างอยู่ตามถ้ำตามเขาสวยงามตามธรรมชาติในประเทศไทยมีไม่น้อย น่าจะมีบริษัทจัดทัวร์พาเยี่ยมชม นี่ได้ไอเดียจากที่หลวงพี่เขียนบรรยายนะเนี่ย มันเกิดอาการอยากไปเยี่ยม นอกจากจะดูความสวยงามแล้วต้องอยู่นั่งสมาธิด้วน แห่ง 2-3 คืนน่าจะดี

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 11:17

ท่านเขียนเรื่องได้น่าติดตามตาม ท่านรักที่จะอยู่กับธรรมชาติ ท่านเป็นผู้บุกเบิกท่านเป็นพระเเท้ สมควรเเก่การยกย่อง สาธุๆๆครับ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 15:40

อ่านเสียเพลินเลยเจ้าค่ะ กราบอนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์ด้วยเจ้าค่าา กราบสาธุๆๆ

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 17:19

ด้วยความปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนัก ที่ได้เข้ามาอยู่ในหัตถ์สวรรค์ เพื่อเป็นสายใยเชื่อมโยงให้สายใยบุญของหลวงพ่อได้งอกเงยและงามยิ่ง ยิ่งขึ้นไป สาธุ 🙏 สาธุ 🙏 สาธุ 🙏

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 17:42

คำว่า "อิทธิพล" น่าจะเป็นคำที่ใช้กับผู้ใช้อำนาจในการบังคับให้ผู้อื่นทำตาม ถ้าไม่ทำตาม อาจถูกลงโทษได้ จึงเป็นที่เกรงกลัวครับ คุณLin Chia อธิบายดีมาก "อิทธิพลต่อการทำลายล้างกิเลส" ในทางพระพุทธศาสนาเราเรียกการสร้างบารมีครับน่าจะเป็นอย่างนี้ครับกระผม

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 18:35

มี "อิทธิพล" ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปสู้่ใจชาวบ้านให้ร่มเย็น กราบอนุโมทนาพอจ. เรื่องเล่าดีมากให้ข้อคิดมุมมอง จนมีอิทธิพลต่อผู้อ้่้่าน :รักพระศาสน์ รักป่ระเทศ หวงแหนพระพุทธศาสนา

Reply
avatar
22 กันยายน 2559 เวลา 18:56

สาธุเจ้าค่ะ อ่านเพลิน อยากไปชมธรรมชาติบ้างจังเลยค่ะ

Reply
avatar
23 กันยายน 2559 เวลา 01:25

กราบถวายกำลังใจเจ้าค่ะ

Reply
avatar
23 กันยายน 2559 เวลา 01:26

กราบถวายกำลังใจเจ้าค่ะ

Reply
avatar
23 กันยายน 2559 เวลา 08:19

กราบถวายกำลังใจเจ้าค่ะ เยี่สมมากๆเจ้าค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ

Reply
avatar
23 กันยายน 2559 เวลา 19:41

สาธุค่ะ กราบนมัสการเจ้าสำนักเขาวงพระจันทร์ พบกันที่ทางช้างเผือกสุดยอดมากค่ะ

Reply