วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560

จดหมายถึงคุณอุ๋ย ไม่รู้คุณอุ๋ยจะได้อ่านไหม ?

ไม่รู้คุณอุ๋ยจะได้อ่านไหม ?


จดหมายฉบับนี้ไม่ได้มีจุดหมายที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของใคร  โดยจดหมายฉบับนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานของการ
เคารพในการคิดต่าง  

แต่จดหมายฉบับนี้มุ่งอย่างเดียวคือ 

ขอให้คนไทยต่างคนต่างปฏิบัติดี

ตามแนวของตนให้ยิ่งๆขึ้นไป  

และเคารพในความต่างไม่ว่าร้ายกัน 

ตามที่พระพุทธองค์ได้กล่าวในโอวาทปาฏิโมกข์ 


ก่อนจะพูดถึงพุทธแท้ อยากจะให้เรามามองความจริงอันนึง  ในโลกนี้มีเพลงหลายแบบ  หลายสไตล์  แล้วแต่ว่าใครชอบแบบไหน สไตล์ไหน  และคนที่ชอบเพลงต่างสไตล์กัน  คงไม่มาว่าเพื่อนที่ชอบฟังเพลงต่างสไตล์ว่าเธอผิดนะมาชอบเพลงสไตล์นี้ได้ไง หรือมาบอกว่าที่เธอฟังหนะไม่ใช่เพลงแท้ มันคือการตะคอกใส่กัน  ซึ่งชาวร็อคคงโวยวาย  หรือจะบอกว่าที่เธอฟังหนะไม่ใช่เพลงแท้ แค่พูดเป็นจังหวะ พวกชาวแร๊ปก็คงไม่ยอม  



คุณอุ๋ยว่าไหม ?
มันไม่มีความถูกผิดในการชอบจริงไหม ?


ซึ่งเสียงที่พูดคุยเป็นประเด็นคือ  ชาวธรรมกาย สไตล์ธรรมกายอาจจะเป็นสไตล์นึงที่ใครบางคนไม่ชอบ  จนกระทั่งถึงขั้นเกลียดก็มี  แต่มันคงยากที่จะบอกว่าสำนักโน่นนี่นั่นไม่ใช่พุทธ หรือพุทธเทียม 

ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ?

เพราะ ในวงการวิชาการศาสนายังสรุปไม่ลงว่าคำจัดความของศาสนาคืออะไร  แม้แต่ในวงการวิชาการพุทธศาสนาก็ไม่ยกประเด็นพุทธแท้นี้ขึ้นมาถกอภิปรายกัน  เพราะมันเป็นประเด็นแห่งการแตกแยก  ถ้าคุณพูดว่า พุทธเถรวาทเป็นพุทธแท้  ฝ่ายพุทธมหายานและฝ่ายพุทธทิเบตก็คงไม่ยอม  หากคุณบอกว่าไทยพุทธเป็นเถรวาทแท้  พุทธศรีลังกา  พุทธพม่า พุทธลาวก็คงไม่ยอม  แล้วถ้าคุณบอกว่าธรรมยุตเป็นพุทธไทยแท้  มหานิกายก็ไม่ยอม จะว่ามหานิกายพุทธไทยแท้ ฝ่ายธรรมยุตก็คงไม่ยอม เพราะฉะนั้นประเด็นอะไรแท้ในทางศาสนานั้น มันนำมาซึ่งความแตกแยกมิใช่ปรองดองเลย  ซึ่งในประวัติศาสตร์ได้มีมาแล้ว  กลุ่มนึงที่เรียกตัวเองว่ามหายาน  และดูถูกกลายๆว่าพวกอื่นเป็นหินยาน เป็นยานเล็ก  ซึ่งทำให้เกิดความแตกแยก  ปัจจุบันในวงการวิชาการพุทธศาสนา  จึงยอมรับกันในระดับนึงในเรื่องคำสอนพุทธดั้งเดิมซึ่งอาศัยหลักการทางคัมภีร์ศึกษา  ที่เทียบเคียงคำสอนที่สอดคล้องกันในคัมภีร์บาลี จีน ทิเบต  เพราะฉะนั้นการยกประเด็นพุทธแท้ขึ้นมา  

โดยเรามิอาจหานิยามหรือหลักการใดๆ
ที่ชัดเจนและยอมรับกันเป็นสากลได้  
มันมีแต่ความแตกแยก 
ไม่ได้เกิดผลดีขึ้นมาเลย  

ชาวพุทธไม่ได้รักกัน คนพุทธก็ไม่ได้รักษาศีลมากขึ้น ไม่ได้ทำทานมากขึ้น ไม่ได้นั่งสมาธิมากขึ้นเลย  หรือศึกษาและปฏิบัติมากขึ้น เพราะต่างเอาน้ำลายมาพ่นใส่กัน  จนทำให้ศาสนิกชนอื่นเขาหัวเราะเยาะกันได้ 

ถ้าจะเอาหลักอะไรมายึดบ้างสำหรับพุทธศาสนิกชนเพื่อที่จะได้มั่นใจในความเชื่อของตนต่อไป  แต่ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ของใครตรงไม่ตรง  สายตัวเองตรงก็ทำไป  อย่ามัวแต่วิพากษ์วิจารณ์แล้วลืมปฏิบัติกัน  ซึ่งคำแปลนั้น อาจจะมีการตีความที่ต่างกันอีก เพราะบาลีมีนัยยะเป็นร้อย  ก็อย่าทะเลาะกันอีก  มอบให้เพื่อคุณจะได้มั่นใจในสายความเชื่อของคุณแล้วเร่งปฏิบัติ  นั่งสมาธิกันทุกวัน  รักษาศีลกันตลอดชีวิต และทำทานเป็นนิตย์  ดำรงชีวิตอย่างไม่ประมาท  

ขอน้อมนำโอวาทปาฏิโมกข์  ที่ว่า “ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส”  ก็วัดกันได้เลยสายเราปฏิบัติแล้ว ละชั่ว ทำดีไหม ใจผ่องใสไหม  และ หลักกาลามสูตร  ที่ว่า “เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น”  ก็ดูว่าความเชื่อของเราสอนเราให้คิดกุศล หรือ อกุศล  พอปฏิบัติแล้วเป็นประโยชน์หรือโทษ ผู้รู้ติเตียนหรือไม่ (เน้นผู้รู้) ทำแล้วสุขไหม  (สะใจไม่ใช่ความสุข เป็นกิเลสนะ) เอาหลักนี้ไปพิจารณากันเองสาวกใครสาวกมันเลย 

  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจักพึงปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ  เป็นอุบาสกแท้ เป็นอุบาสิกาแท้  รักษาศีล ๕ กันให้ครบตลอดชีวิตดีกว่า  ส่วนพระแท้นั้นเป็นเรื่องของพระ  เราเป็นโยมมีสิทธิพิจารณาตัวเองว่าอุบาสกแท้ไหม อุบาสิกาแท้ไหม  อย่าไปวิพากวิจารณ์ใครในขณะที่เรายังเป็นคนตบยุง เรายังดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เรายังเที่ยวกลางคืน  เรายังซื้อหวย ยังยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข  และยังมีอคติ 4 เลย  กลับหันมาปรับปรุงตัวเราดีกว่า อย่างนี้พระศาสนาจะเจริญขึ้น   

 ส่วนเรื่องของพระนั้นในพระพุทธองค์ท่านทรงบัญญัติเช่นนี้ ขอให้เป็นเรื่องของสงฆ์เถิด 

กรณีจะโจท 
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงพิจารณา ธรรม ๕ ประการในตน แล้วโจทผู้อื่น 
1.กายบริสุทธิ์  ไม่มีช่อง ไม่มีตำหนิ  
2.วาจาบริสุทธิ์ ไม่มีช่อง ไม่มีตำหนิ 
3.จิตของเรามีเมตตาปรากฏ ไม่อาฆาตในสพรหมจารีทั้งหลาย 
4.เป็นพหูสูต สั่งสมสุตะธรรม ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ดีแล้วด้วยปัญญา  
5.ทรงจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดี โดยพิสดาร  สวดไพเราะคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้อง โดยสุตตะ  โดยอนุพยัญชนะ (วินัย สยร.7.199) 

กรณีระงับอธิกรณ์ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้ระงับอธิกรณ์เห็นปานนี้ด้วยเยภุยยสิกา พึงสมมติภิกษุ 
   ผู้ประกอบด้วยองค์คุณ ๕ ให้เป็นผู้ให้จับสลาก คือ 
         1.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ 
         2.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง 
         3.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย 
         4.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ 
         5.พึงรู้จักสลากที่จับแล้วและยังไม่จับ (วินัย สยร.6.315 ) 

ไทยแตกแยกมามากพอแล้ว  เรารักพระพุทธศาสนาเหมือนกันใช่ไหม  เรารักรอยยิ้มที่ให้กันแม้ไม่รู้จักใช่ไหม  พูดคุยเรื่องปรองดองเถอะ เชิญชวนนะ  แล้วถ้าใครทำดีก็ชื่นชมเขาเถอะ ถ้าเขาทำดี คุณก็ยินดีกับเขา ถ้าคุณทำดี เขาก็จะยินดีกับคุณ  เหมือนที่คุณบอกเองหละ  “ข่มหรือยกคนอื่นที่ไม่ดีมาพูด  ก็มิได้จะทำให้ตัวเองสูงขึ้น” 


หากสบประมาทข่มคนรวยเท่าใด  
เราก็ไม่ได้รวยขึ้น

Related Posts

จดหมายถึงคุณอุ๋ย ไม่รู้คุณอุ๋ยจะได้อ่านไหม ?
4/ 5
Oleh

Subscribe via email

Like the post above? Please subscribe to the latest posts directly via email.

17 ความคิดเห็น

Tulis ความคิดเห็น
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 19:58

จริงๆ ใครจะปฏิบัติทางไหนไม่มีใครว่า อยากทำดีอย่างไรเชิญตามทางที่ชอบ แต่อย่ามาเบียดเบียนกันเลยนะ ไม่ชอบไม่ว่า แต่อย่ามาทำตัวเป็นศาลตัดสินชาวบ้านเข้าว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เพราะคุณไม่รู้หรอก ไม่ต้องทำเก่ง

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 21:01

ผลของการสร้างวาทะกรรม อ้างว่าตัวเองดีเหนือคนอื่น ใครไมม่เหมือนเป็นคนไม่ได้ เป็นพุทธไม่แท้ เป้นพระไม่จริง หยุดสร้างวาทะกรรม หยุดความแตแยกแต่กสามัคคี ใครชอบแบบไหน ถนัดแบบไหน ให้มีศีล 5 และปฏิบัตตนเอง ทำตัวเองให้ดีก่อนค่ะ

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 21:27

ขอให้ตาสว่างโดยเร็ว...

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 21:28

เห็นด้วยค่ะ เราควรตั้งหน้าปฏิบัติธรรม ทำความดีของเราเรื่อยไปจะดีกว่า อย่าว่าร้ายกันเลย

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 21:33

คุณอุ๋ยพุทธแท้ของคุณตอนนี้มีพระอรหันต์อยู่กี่องค์หรือแล้วตัวคุณอ่านพระไตรปิฎกจบกี่รอบแล้วล๊ะ

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 21:55

อธิบายไปก็เปล่าประโยชน์

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 22:01

นายอุ๋ยคุณว่าพุทธแท้พุทธเทียมของนายแล้วขอถามหน่อยแล้วนายได้ปฏิบัติถึงคั่นไหนแล้วถึงแบ่งแยกได้ว่าใครคือพุทธแท้ใครคือพุทธเทียมนะในพระไตรปิฏกเขาเขียนไว้หรือว่ามีพุทธแท้พุทธเทียมด้วยนายกำลังทำให้พระสงฆ์แตกแยกบาปกว่าพระเทวทัตอีกนะเพราะเทวทัตยังทีพระพุทธเจ้าทรงมาโปรดแต่นายไมมีใครมาโปรด

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 22:20

โอ้ยยย ชอบประโยคสุดท้าย มีคนด่าคนเข้าวัดธรรมกายเยอะมาก คนรวยมันโง่ คนเข้าวัดนี้มันควาย คือ คนที่ว่าเค้าน่ะ ได้ดีอย่างเขาหรือยัง

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 23:08

อย่าเที่ยวว่าคนอื่นโดยที่ยังไม่ได้ศึกษา จบอะไรมาน้อง แน่จริงลองมานั่งสมาธิแข่งกับเด็กป.1 ไหมละ ไม่รู้อย่าชี้เลย

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 23:41

คุณธรรมของผู้นำนั้นเรื่องใหญ่
คุณธรรมสื่อถึงใจใช่เรื่องเล่น
คุณธรรมสื่อดีชั่วตัวตนเป็น
คุณธรรมช่วยชี้เด่นเห็นสันดาน
คุณธรรมของผู้นำสำคัญยิ่ง
คุณธรรมใช้อ้างอิงสิ่งเล่าขาน
คุณธรรมจะมากน้อยอุดมการณ์
คุณธรรมเป็นตำนานตลอดไป
คุณธรรมของผู้นำช่วยสร้างชาติ
คุณธรรมถ้าประมาทชาติล่มสลาย
คุณธรรมจึงมีผลอย่างมากมาย
คุณธรรมช่วยชาติได้ถ้าใช้เป็น...

Reply
avatar
6 มีนาคม 2560 เวลา 23:44

ฉลาดแต่ขาดข้อมูลที่จริงและไม่มากพอ ที่จะทำให้เข้าใจถูก

Reply
avatar
7 มีนาคม 2560 เวลา 00:19

ก่อนที่จะพูดว่าร้ายใครคุณได้ค้นหาข้อมูลด้วยตนเองหรือปล่าวหรือพูดเพราะได้ฟังตามๆกันมาคุณสมบัติของผู้มีการศึกษาคือไม่ว่าร้ายใครก่อนจะว่าร้ายใครก้มมองดูตัวเองเสียก่อนว่ามีคุณงามความดีมากพอหรือยังเช่นมีศีล5ครบไหมเพราะศีลแปลว่าปกติถ้ายังมีศีลไม่ครบก็แสดงว่าคุณเป็นคนที่ยังไม่ปกติควรตรวจเช็คตัวเองก่อนน๊าาา

Reply
avatar
7 มีนาคม 2560 เวลา 02:02

อยากเรียนหนังสือ แต่ไม่ยอมไปโรงเรียน พบครูอาจารย์ แล้วจะให้เก่งเองคงยาก แต่ถ้าไปโรงเรียน ที่เก่งอยู่แล้วก็จะเก่งกว่าเดิม
เหมื่อนอยากรู้ธรรมะ แต่ไม่ยอมเข้าวัด แล้วจะแก้ความเห็นผิดของตนได้อย่างไร เท่ากับเสียโอกาสดีๆ ในชีวิตไป
แก้ความเห็นผิด ถ้าชาตินี้แก้ไม่ได้ มันก็ต้องไปแก้ในชาติต่อๆ ไป แต่ถ้าเกิดมาไม่เจอพระพุทธศาสนา แล้วชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร
เมื่อมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว นับเป็นโชคลาภของเรา รีบหาครูดีให้เจอนะครับ จะได้กำไรของชีวิต

Reply
avatar
7 มีนาคม 2560 เวลา 02:51

คนที่ว่าวัดตามกระแส ศึกษาให้ดีก่อน คุณอยากรู้ความจริงเรื่องนี้บ้างไหม แล้วคุณรู้สึกอย่างไร???

หลังจากที่มีคดีความเรื่องสหกรณ์ แล้วสหกรณ์อยู่รอดต่อมาได้อีก 1 ปี ก็เพราะมีเงินคืนให้เจ้าหนี้สหกรณ์ ซึ่งเงินส่วนใหญ่นั้นได้รับมาจากพวกลูกศิษย์ธรรมกาย ที่ลงขันกันมอบเงินช่วยเหลือรวม 2 งวดเกือบ 1 พันล้านบาท (งวดแรก 600 กว่าล้าน งวดหลัง 300 กว่าล้าน)

 
ซึ่งพวกธรรมกายเค้าก็ลงขันมอบให้สหกรณ์ครบหมดแล้ว แล้วทางสหกรณ์ก็ถอนฟ้องวัด ไม่ติดใจเอาเรื่อง แถมเขียนจม.มาขอบคุณอีกด้วย

 
แต่..แต่..แต่…มา ณ วันนี้ เงินที่ได้จากพวกลูกศิษย์วัด ทางสหกรณ์ก็ใช้ไปหมดแล้ว สหกรณ์จึงเกิดปัญหาใหม่ตามมา คือ ณ เวลานี้สหกรณ์จะเอาเงินจากที่ไหนไปฟื้นฟูและใช้หนี้ที่เหลือของปีนี้ (ซึ่งต้องใช้เงินมากถึง 1,200 ล้านบาทต่อปี) เพราะที่รัฐบาลสัญญาว่าจะให้เงิน 1 หมื่นล้าน และช่วยตามหนี้ให้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาสนใจเรื่องความเดือดร้อนของสหกรณ์และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่กำลังจะอดตายอย่างจริงจังเลย !!!

 
และที่เลวร้ายหนักไปกว่านั้น คือ DSI เองกับเจ้าหน้าที่รัฐกลับเป็นคนที่ไม่ยอมคืนเงิน 3,800 กว่าล้านบาทที่ยึดมาจากศุภชัยให้สหกรณ์เองอีกด้วย โดยอ้างเหตุผลต่างๆ นานา (ไม่เชื่อลองฟังคำยืนยันจากปากคุณประกิตเอง)

 จากเหตุการณ์นี้ คุณประกิตถึงกลับบอกว่า..ถ้าสหกรณ์มีอันเป็นไปหรือล้ม ก็อย่ามาโทษผม ว่าผมฟื้นฟูไม่ได้ แต่เพราะ DSI และเจ้าหน้าที่รัฐฯ ยึดเอาเงินสหกรณ์ไป แล้วไม่มีวี่แววว่าจะคืนให้ อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่ทำตามสัญญาที่จะมอบเงินเยียวยาให้ 1 หมื่นล้านด้วย !!!

จุดจบสหกรณ์ คลองจั่น ไร้เงินหมื่นล้าน  รัฐปล่อยลอยแพ !!!

youtube ค้นคำว่า เผชิญหน้า 23/02/60 จุดจบ“สหกรณ์ฯ คลองจั่น” ไร้เงินหมื่นล้าน ถูกรัฐบาลลอยแพ (1)

เผชิญหน้า ตอนที่ 1 คลิก https://www.youtube.com/watch?v=isOSwD7_ens

เผชิญหน้า ตอนที่ 2 คลิก https://www.youtube.com/watch?v=dxKD1ItNMvc&feature=youtu.be

http://hot-answer.blogspot.com/2017/03/blog-post.html

Reply
avatar
7 มีนาคม 2560 เวลา 04:38

กราบขอบพระคุณค่ะที่สอน ให้ได้สติ ได้ความรู้ใหม่ ความรู้เดิมที่เลือนไป ก็ชัดขึ้น กราบขอบพระคุณมากค่ะ

Reply
avatar
7 มีนาคม 2560 เวลา 18:19

อย่าเที่ยวว่าคนอื่นโดยที่ยังไม่ได้ศึกษา จบอะไรมาน้อง แน่จริงลองมานั่งสมาธิแข่งกับเด็กป.1 ไหมละ ไม่รู้อย่าชี้เลย

Reply