วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 19 เรื่องมันจำเป็น (เขาว่าหลวงพี่เป็น...ผู้มีอิทธิพล The series)

เขาว่าหลวงพี่เป็น...ผู้มีอิทธิพล

โดยพระธาดา จรณธโร 
ประธานมูลนิธิธรรมชาติพิสุทธิ์ (องค์กรสาธารณประโยชน์)
......................................


         ภารกิจหลักของหลวงพี่ในช่วงแรกนี้ก็คือการจัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับการบวช และการออกชวนผู้มีบุญมาบวช



          เนื่องจากหลวงพี่ไม่มีความรู้เรื่องการก่อสร้างเลย แถมงบประมาณก็จำกัด อาคารโรงนอนธรรมทายาทที่สร้างขึ้นจึงไม่มีแบบ มันมีขนาดประมาณ 5x30 เมตร มีที่นอนสองด้าน เอาเท้าหันเข้าหากัน ฝาผนังทำจากผ้าพลาสติกกรองแสงหรือที่เรียกว่าซาแลน (ไม่รู้ที่มาของคำนี้จริงๆว่ามาจากภาษาอังกฤษหรือเปล่า)  ตรงกลางเว้นไว้เป็นทางเดิน ดูคล้ายๆที่พักคนงานตามไซท์ก่อสร้าง แต่ชาวบ้านก็ได้ช่วยกันทำจนเสร็จ อยู่ในสภาพที่ ”พักได้” พื้นก็เอาไม้กระดานวางไว้บนตงเฉยๆไม่ได้ตอกตะปู ถ้าใครเดินลงเท้าหนักๆหน่อยจะสะเทือนไปทั้งหลัง หลังคามุงใบตองตึงและเตี้ยมาก เวลาคนสูงๆเดินต้องก้มหัวหลบคาน  ส่วนห้องน้ำนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทักว่ามันเป็นหน้าวัดไม่ควรมี หลวงพี่จึงไม่ได้สร้างตรงใกล้ๆโรงนอนนั้น แต่มาสร้างบริเวณห้องน้ำเดิมท้ายศาลาใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 6 ห้อง และสร้างบ่อปูนขนาดประมาณ 2.5 x 4 เมตรไว้ยืนอาบน้ำกัน ถ้าจำไม่ผิดใช้ใต้ศาลาใหญ่เป็นที่ตากจีวรในร่มถ้ามีฝนตก การเตรียมสถานที่ไว้รองรับธรรมทายาทก็ถือว่าเรียบร้อยในระดับหนึ่ง




        เนื่องจากการอบรมพระจำนวนมากต้องใช้พี่เลี้ยงหลายรูป ทางวัดจึงมีนโยบายให้จัดบวชพระที่จะมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเป็นการเฉพาะ หลวงพี่จึงให้ปรับกุฏิไฟไหม้มาใช้  วิธีการก็ง่ายมาก รื้อชั้นสองที่โดนไฟไหม้ออก ส่วนด้านล่างเป็นโครงสร้างก่ออิฐฉาบปูนก็ให้คงไว้ แล้วสร้างหลังคามุงด้วยใบตองตึง ก็เป็นอันว่ามีที่พักให้ทีมพระพี่เลี้ยงแล้ว ส่วนอาคารเอนกประสงค์นั้นปรับเป็นสำนักงาน และหลวงพี่ก็พักอยู่ในนั้นด้วย กลางคืนจะจำวัตรก็เอาเบาะ หมอน ผ้าห่มออกมาจากตู้ กางมุ้งครอบเข้าที่หน้าโต๊ะทำงาน ตื่นตีสี่ครึ่งก็เก็บเครื่องนอนเข้าตู้ ทำอย่างนี้อยู่ห้าปี ไม่มีงบและเวลาสร้างที่พักส่วนตัว


กุฏิไฟไหม้ ก่อนปรับปรุงเป็นที่พักพระพี่เลี้ยง

          เนื่องจากโยมพ่อเก่งเรื่องเครื่องยนต์กลไกอยู่แล้ว เมื่อท่านย้ายกลับมาจากทองผาภูมิ ท่านจึงให้หลวงพี่เรียนในสิ่งที่ท่านไม่ชำนาญ ท่านส่งให้หลวงพี่เรียนซ่อมวิทยุโทรทัศน์ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ตอนเรียนมัธยม และเรียนไฟฟ้ากำลังตอนเข้าเรียนช่างกล

          ความรู้เรื่องไฟฟ้าและอีเลคทรอนิคส์ที่ .. พ่อให้มา .. นี่แหละ หลวงพี่ได้เอามาใช้ตลอดชีวิต และนึกไม่ถึงเลย ยิ่งบวชเป็นพระไปอยู่อุ้มผางแล้วได้ใช้คุ้มเลย ..

          พร้อมๆกันไปกับภารกิจอื่นๆนั้นหลวงพี่ก็ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากกับเรื่อง ไฟฟ้า ประปาและโทรศัพท์

          แรกๆที่ไปอยู่เขาวงพระจันทร์นั้น เวลาจะใช้อินเตอร์เน็ตต้องให้สารถีขับรถจากแม่จันย้อนกลับไปทางอุ้มผาง 10 กิโลเมตร จะถึงจุดที่สามารถรับคลื่นโทรศัพท์ได้ หรือไม่ก็ต้องเดินขึ้นดอยพระบาทแต่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพราะตอนนั้นไม่มีทางรถขึ้นไป แม้ส่วนหนึ่งก็ชอบที่ไม่มีโทรศัพท์เพราะไม่ค่อยมีเรื่องกวนใจ แต่เพราะต้องติดต่อประสานงาน ดาวน์โหลดข้อมูลและส่งรายงานบ่อยๆ หลวงพี่จึงไปติดต่อองค์การโทรศัพท์ขอติดตั้งระบบโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม นอกจากค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต้องวางมัดจำไว้แล้ว หลวงพี่ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละสามพันบาท แถมชุดโทรศัพท์ดาวเทียมนี้ก็ต้องมีไฟฟ้าหล่อเลี้ยง จึงมาถึงโจทย์ข้อต่อไปคือเรื่องของไฟฟ้า




          ชาวบ้านเขามีโซล่าเซลล์กันบ้านละแผงจากโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของกระทรวงพลังงาน ว่ากันว่าวันไหนแดดดีๆจะมีไฟพอดูละครหลังข่าวได้ และมีชุดแผงโซล่าเซลล์พร้อมแบตเตอรี่อย่างดีประจำหมู่บ้านตรงข้ามกับสำนักสงฆ์เป็นของสาธารณะ เพื่อชาวบ้านจะได้เอาแบตมาชาร์จ แต่เนื่องจากเป็นของส่วนกลางขาดคนรับผิดชอบและขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง ตอนหลวงพี่ไปถึงชุดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ประจำหมู่บ้านราคาแพงนี้ก็อยู่ในสภาพที่ใช้งานแทบไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีน้ำกลั่นในแบตเตอรี่เลยสักลูกเดียว น่าเสียดายแบตเตอรี่อย่างดีที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบโซล่าเซลล์โดยเฉพาะ

        หลวงพี่ลองคำนวณความต้องการการใช้ไฟฟ้าภายในวัด แล้วติดต่อบริษัทขายโซล่าเซลล์ให้ทำใบเสนอราคามา ได้เห็นราคาแล้วหลวงพี่พับโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในวัดทันที

.................................


         หลวงพี่เริ่มด้วยการขอยืมเครื่องปั่นไฟจากสาธารณสุขตำบล ใช้ปั่นไฟตอนทำวัตรเช้าและเย็นซึ่งหลวงพี่กระจายเสียงจากลำโพงบนภูเขาไปทั่วหมู่บ้านด้วย ตอนขึ้นไปติดตั้งลำโพงบนยอดเขา หลวงพี่ต้องขึ้นไปเองเพื่อเลือกตำแหน่งติดตั้งและต่อสายลำโพง การขึ้นไปบนนั้นน่าหวาดเสียวมากทีเดียว เพราะมันเป็นหน้าผาชันดิ่ง 90 องศา ต้องอาศัยเกาะต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นไป มีอยู่จุดหนึ่งเมื่อจะข้ามจากต้นไม้ไปที่ภูเขา ต้องปล่อยมือจากกิ่งไม้ก่อน แล้วก้าวข้ามอากาศไปถึงก้อนหินจึงจะขึ้นไปยอดภูเขาได้ แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว จะเห็นวิวหมู่บ้านท้องนาป่าเขาสวยงามทีเดียว ข้างบนนี้ชาวบ้านไม่ยอมให้ผู้หญิงขึ้นไปเด็ดขาด


         ระบบกระจายเสียงบนยอดเขาที่หลวงพี่ติดตั้งไว้นี้ ยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ทางการมีเรื่องราวอะไรที่จะประกาศถึงชาวบ้านก็อาศัยเครื่องเสียงของเขาวงพระจันทร์นี่แหละเป็นหลัก หลวงพี่พยายามปลูกฝังนิสัยตรงต่อเวลาให้ทุกคนในวัด การตีระฆังต้องตรงเวลาเป๊ะ ระฆังปลุกตอนเช้าคือตีสี่ครึ่ง ซึ่งในฤดูหนาวอุณหภูมิบางเช้าต่ำกว่าสิบองศาก็ไม่เคยว่างเว้น หลวงพี่ให้นโยบายคนในวัดว่า ต้องให้ชาวบ้านได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นทุกวันและตรงเวลา คือได้ยินเสียงพระสวดมนต์ทำวัตรเช้าก็มั่นใจได้เลยว่าตีห้าพอดี ทำวัตรเย็นก็หกโมงครึ่งพอดีเหมือนกัน

         หลวงพี่เปิดเครื่องปั่นไฟจนจบช่วงที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านลงสอน แต่เสียงเครื่องปั่นไฟมันดังมาก เลยต้องเอามันลงไปไว้ในถ้ำเล็กๆใต้บันใดที่เดินขึ้นหอระฆัง มันเป็นเครื่องแบบมือหมุนสตาร์ท จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นใครเป็นคนติดเครื่องแต่ตอนสามทุ่มให้น้องอาสาสมัครผู้หญิงเป็นคนไปดับ .. น้องก็ใจเด็ดเหมือนกันไปดับเครื่องในถ้ำมืดๆคนเดียว แน่นอนที่สุด ของที่ขอยืมนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่นานนักสาธารณสุขก็ขอเครื่องปั่นไฟคืน

          เพราะปัจจัยมีจำกัดแต่รายจ่ายสารพัด หลวงพี่จึงซื้อเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กใช้เครื่องยนต์สองจังหวะทำในประเทศจีนมาเพราะราคาถูกดี แต่ปรากฎว่าเสียงมันดังแสบแก้วหูและควันเหม็นมาก ทันทีที่สตาร์ทเจ้าเครื่องนี้ต้องถามตัวเองทุกครั้งว่าเรามาอยู่ป่าเขาทำใม ในเมืองก็มีเสียงหนวกหูและควันเหม็นๆแบบนี้! แถมอัตราซดน้ำมันก็เกินตัว ประมาณชั่วโมงละลิตร ตอนนั้นในเมืองเบนซินลิตรละประมาณสี่สิบบาท ที่อุ้มผางน้ำมันแพงกว่าที่แม่สอดลิตรละสามบาท แน่นอนถ้าซื้อน้ำมันที่แม่จันก็แพงกว่าที่อุ้มผางอีก ก็พยายามปั่นไฟให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

         แต่จะทำอย่างไรดีให้ระบบโทรศัพท์ใช้งานได้ทั้งวันโดยไม่ต้องปั่นไฟตลอดเวลา? หลวงพี่แก้ปัญหาด้วยการชาร์จไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่ตอนปั่นไฟ พอดับเครื่องปั่นไฟอินเวอร์เตอร์จะเปลี่ยนไฟแบตเป็นไฟ 220 โวลท์โดยอัตโนมัติเพื่อเลี้ยงระบบโทรศัพท์ หลักการเดียวกับ UPS ที่เราใช้กับคอมพิวเตอร์นั่นแหละ เพียงแต่มีแบตอยู่ภายนอก และหลวงพี่ยังลงทุนติดตั้งกังหันลมบนยอดเขา ใช้ไฟฟ้าฟรีจากพลังงานลมมาชาร์จแบตอีกทางหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ก็สามารถประหยัดค่าน้ำมันไปได้พอสมควร ที่สำคัญคือไม่ต้องทนฟังเสียงและดมควันเจ้าเครื่องปั่นไฟบ่อยเกินไป ตอนลำเลียงชุดกังหันลมขึ้นไปบนยอดเขาก็อาศัยเยาวชนชายและชาวบ้านมาช่วยกัน แม้จะพยายามลดเวลาการปั่นไฟแบบสุดๆแล้ว หลวงพี่ต้องจ่ายเฉพาะค่าน้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้าประมาณเดือนละห้าพันบาท

เครื่องปั่นไฟดีเซลขนาด 5 กิโลวัตต์


         แล้วก็ปรากฎว่าระบบน้ำที่ว่าเทศบาลยินดีมาเติมให้นั้น มันไม่เป็นไปอย่างที่คาด เพราะเทศบาลก็มีงานสารพัด ไม่ได้ว่างมาเติมน้ำให้ทุกครั้งที่แจ้งไป บางครั้งก็ต้องรอหลายวัน อย่างนี้แย่แน่ ต้องหาวิธีแก้ไข ในที่สุดก็พบว่ามีบ่อน้ำอยู่ริมนาข้าวในหมู่บ้าน ห่างลงไปประมาณสองสามร้อยเมตร และมีระดับต่ำกว่าสำนักสงฆ์อยู่สิบกว่าเมตร หลวงพี่จึงให้วางท่อน้ำเดินสายไฟและติดปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำขึ้นมาใช้ที่สำนักสงฆ์ เครื่องปั่นไฟเครื่องแรกจ่ายไฟให้ปั๊มน้ำไม่ไหว คราวนี้ต้องลงทุนซื้อเครื่องปั่นไฟดีเซลขนาด 5 กิโลวัตต์ เพื่อให้ใช้งานทุกอย่างได้พร้อมๆกัน แต่แม้กระนั้นเจ้าเครื่องนี้ก็ใช้งานอยู่ได้ปีเศษๆเท่านั้นก็ต้องเริ่มซ่อม ยกไปซ่อมแต่ละทีใช้เวลาเป็นเดือน ท้ายสุดจึงต้องเอาเครื่องยนต์แบบที่ใช้กับรถไถแบบเดินตามมาฉุดไดนาโม แต่ก็มีปัญหาเพราะวิธีนี้ไม่มีระบบควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ ปรับจนได้แรงดันไฟ 220 แล้วพอเปิดปั๊มน้ำปั๊บไฟตกวูบ พาลทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆมีอายุการใช้งานลดลงตามไปด้วย

.................................




          ในการออกไปชวนคนบวชในหมู่บ้านลึกๆตามป่าตามเขา และภายหลังในการออกไปจัดเทศน์สอนนอกสถานที่ บ่อยครั้งต้องเอาเครื่องขยายเสียง โปรเจคเตอร์ และเครื่องปั่นไฟไปด้วย เจ้าเครื่องแรกก็เริ่มรวนจึงต้องซื้อเครื่องปั่นไฟเบนซินอีกหนึ่งเครื่อง คราวนี้ใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะก็ดีขึ้นหน่อย มันเป็นเครื่องสำรองด้วยเวลาเครื่องดีเซลมีปัญหา เครื่องนี้มีคนชอบมายืมใช้ หลายไม้หลายมือเข้าไม่นานก็พังอีก .. เฮ้อ




         โชคดีที่แม่จันมีอากาศเย็นตลอดปี ตู้เย็นจึงไม่มีความจำเป็น บางอย่างที่จำเป็นจริงๆก็แช่ไว้ในถังใส่น้ำแข็ง ถ้าต้องมีตู้เย็นซึ่งต้องใช้ไฟตลอดเวลา การใช้ไฟจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จเก็บไว้จากพลังลมและตอนปั่นไฟคงไม่พอแน่นอน

         ส่วนแสงสว่างตอนกลางคืนช่วงที่ไม่ได้ปั่นไฟนั้น หลวงพี่ย้อนนึกไปถึงสมัยเด็กๆที่อาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายซึ่งมีอาชีพขายขนมตอนกลางคืนที่ป้ายรถเมล์โดยใช้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ พวกเราหลายคนอาจไม่เคยเห็น มันเป็นตะเกียงมีหลอดแก้วทรงกระบอก ภายในคือไส้หลอดมีลักษณะคล้ายๆถุงผ้า ด้านล่างเป็นที่ใส่น้ำมันก๊าด ก่อนใช้ต้องปั๊มความดันให้ถังน้ำมันก๊าด เมื่อติดไฟแล้วสว่างจ้าทีเดียว แต่ต้องคอยปั๊มลมอยู่เสมอ จากนั้นก็ไม่เคยใช้ตะเกียงเจ้าพายุอีกเลยนับหลายสิบปี แต่หลวงพี่ก็ไปหามาจนได้จากร้านอุปกรณ์แค้มปิ้ง

ตะเกียงเจ้าพายุ

         มันเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก จังหวัดตากมีเขื่อนภูมิพลซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้าเหลือขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน แถมค่ายผู้อพยพที่อุ้มเปี้ยมก็มีไฟฟ้าใช้ แต่คนไทยในอุ้มผางซึ่งอยู่ในจังหวัดตากนั้นต้องรอใช้ไฟฟ้าจากเขื่อนภูมิพลกันนานแสนนาน

          กว่าการไฟฟ้าภูมิภาคจะเดินไฟมาถึงแม่จัน หลวงพี่ก็มีเครื่องปั่นไฟสี่เครื่อง แถมกังหันลมบนยอดเขาอีกหนึ่งตัว แบตเตอรี่หลายลูก อินเวอร์เตอร์และเครื่องชาร์จแบตอีกหลายเครื่อง

          เรื่องมันจำเป็นทั้งนั้น .. กว่าจะจัดการระบบน้ำไฟโทรศัพท์ให้ใช้งานได้ลงตัวก็หืดขึ้นคอ ไม่ต้องพูดถึงปัจจัยในย่าม ที่ล้วงแล้วล้วงอีก และการบำรุงรักษาซ่อมแซมที่ตามมา


  หลวงพี่เริ่มเข้าใจความรู้สึกของการเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ..


7  ก.ย. 2559 19:36
โดยพระธาดา จรณธโร

ประธานมูลนิธิธรรมชาติพิสุทธิ์
(องค์กรสาธารณประโยชน์)




อ่านบทนำ - บทที่ 6ได้ที่ 
http://buddhisthotissue.blogsp ot.jp/2016/08/series_1.html

อ่านบทที่ 7 : ชีวิตคือการเดินทาง ได้ที่

อ่านบทที่ 8 : Been there .. Done that ..
http://buddhisthotissue.blogspot.sg/2016/08/8-been-there-done-that-series.html

อ่านบทที่ 9 : My way
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/08/9-my-way-series.html

อ่านบทที่ 10 : ซาโยนาระ
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/08/10-series.html

อ่านบทที่ 11 : ชีวิตใหม่...ในเพศสมณะ
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/09/11-series.html

อ่านบทที่ 12 : หนีเสือปะจระเข้
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/09/12-series.html

อ่านบทที่ 13 : จากเทือกเขาถนนธงชัยถึงสมุทรสงคราม
http://buddhisthotissue.blogspot.jp/2016/09/13-series.html

อ่านบทที่ 14 : อุ้มหัวใจไป...อุ้มผาง
http://buddhisthotissue.blogspot.com/2016/09/14-series.html

อ่านบทที่ 15 : อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน รุ่นห้าแสน
http://myalphabet2016.blogspot.com/2016/09/14-series.html

อ่านบทที่ 16 : สำนักสงฆ์เขาวงพระจันทร์
http://myalphabet2016.blogspot.jp/2016/09/16-series.html

อ่านบทที่ 17 : กุฏิไฟไหม้กับตอไผ่
http://myalphabet2016.blogspot.jp/2016/09/17-series.html

อ่านบทที่ 18 : สารถีในฝัน
http://myalphabet2016.blogspot.jp/2016/09/18-series.html

Related Posts

บทที่ 19 เรื่องมันจำเป็น (เขาว่าหลวงพี่เป็น...ผู้มีอิทธิพล The series)
4/ 5
Oleh

Subscribe via email

Like the post above? Please subscribe to the latest posts directly via email.

57 ความคิดเห็น

Tulis ความคิดเห็น
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:17

กราบอนุโมทนาบุญกับหลวงพี่ธาดาค่ะและต้องขอบคุณคนที่กล่าวหาหลวงพี่ไม่งั้นเราก็คงไม่ได้อ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้กัน

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:18

กราบอนุโมทนาบุญกับหลวงพี่ธาดาค่ะและต้องขอบคุณคนที่กล่าวหาหลวงพี่ไม่งั้นเราก็คงไม่ได้อ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้กัน

Reply
avatar
ไม่ระบุชื่อ
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:20

สาธุค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:22

อ่านแล้วต้องยกย่อใจพระคุณเจ้าจริงๆค่ะมีปัจจัยต้องไปช่วยงานให้สำเร็จแน่นอค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:22

อ่านแล้วต้องยกย่อใจพระคุณเจ้าจริงๆค่ะมีปัจจัยต้องไปช่วยงานให้สำเร็จแน่นอค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:39

ใจท่านแกร่งดุจเพชร สมเป็นพุทธบุตร ขออนุโมทนาเจ้าค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:39

ใจท่านแกร่งดุจเพชร สมเป็นพุทธบุตร ขออนุโมทนาเจ้าค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:46

ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้พระให้เณรทำตามได้เลย อนุโมทนาบุญดว้ยครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:46

ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้พระให้เณรทำตามได้เลย อนุโมทนาบุญดว้ยครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 05:56

ชีวิตของพระภิกษุสงฆ์ผู้ต้องการนำ คุณธรรมศีลธรรมหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ไปสู่ชนบทนั้นน่าสรรเสริญยิ่ง

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:01

ใกล้จะถึงเวลาฟ้าหลังฝน
ใกล้จะพ้นพาลภัยใส่ความให้
ใกล้ถึงคราว่าความเป็นเช่นไร
ใกล้คงได้พิสูจน์พูดความจริง
ใกล้จะถึงเวลาที่ฟ้าเปิด
ใกล้จะเกิดเปิดเผยเรื่องทุกสิ่ง
ใกล้จะถึงเวลาพวกพาดพิง
ใกล้จะยิ่งมั่นใจได้รู้กัน
ใกล้จะถึงเวลาฟ้าสดใส
ใกล้จะได้รวมใจที่สานฝัน
ใกล้จะหมดเวลาที่ฝ่าฟัน
ใกล้สุขสันต์ทั่วหน้าทั้งปฐพี...

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:24

ใกล้สว่างแล้ว

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:27

กราบอนุโมทนาบุญเจ้าค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:38

อนุโมทนาบุญค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:54

The best defense is a good offense "การเผยแผ่ คือการปกป้องพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุด"ขอเป็นส่วนหนึ่ง ร่วมกันเผยแผ่พระพุทธศาสนากัน

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:55

สุดยอดเลย
เป็นผมคงบ่ไหวแน่

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 06:59

ถึงไฟฟ้าจะไม่ค่อยสว่าง แต่ธรรมะได้สว่างในใจชาวดอยแล้วค่ะ กราบอนุโมทนาบุญกับหลวงพี่ด้วยค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:04

กราบอนุโมทนาบุญค่ะ สาธุๆๆๆ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:04

กราบอนุโมทนาบุญค่ะ สาธุๆๆๆ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:05

กราบอนุโมทนาบุญค่ะ สาธุๆๆๆ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:05

กราบอนุโมทนาบุญค่ะ สาธุๆๆๆ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:19

กราบบูชาหัวใจเพชรกล้าแห่งกองทัพธรรมด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:32

สู้ๆครับ ขอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:38

สุดยอดหัวใจพระนักสร้างบารมีค่ะ ชอบอ่านทุกตอน รู้สึกถึงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและผังความสำเร็จที่ไม่ทิ้งละทิ้งแม้มีอุปสรรค

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 07:39

สุดยอดหัวใจพระนักสร้างบารมีค่ะ ชอบอ่านทุกตอน รู้สึกถึงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและผังความสำเร็จที่ไม่ทิ้งละทิ้งแม้มีอุปสรรค

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 08:14

กราบอนุโมทนาแด่หัวใจที่เด็ดเดี่ยว และกล้าแกร่งของพระอาจารยฺ์ สุดยอดนักสร้างบารมี ที่พระพุทธศาสนาต้องการนะครับ...สาธุครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 08:15

กราบอนุโมทนาแด่หัวใจที่เด็ดเดี่ยว และกล้าแกร่งของพระอาจารยฺ์ สุดยอดนักสร้างบารมี ที่พระพุทธศาสนาต้องการนะครับ...สาธุครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 08:25

ซาบซึ้งใจจังเลยครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 08:56

กราบขอบพระคุณหลวงพี่อย่างสูง ที่ทำนุบำรุง สืบทอดให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไป กราบอนุโมทนาบุญด้วย สาธุ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 09:41

สาธุๆๆ ขออนุโมทนาบุญด้วย
บุญบารมีที่เราได้ทำทุ่มเททำมาโดยตลอดนั้น มิได้สูญหายไปไหน รอวันส่งผลอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราตรึกนึกถึงบุญคราใด ก็จะปลื้มปีติใจ มีความสุขตลอดไป

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 09:56

สาธุ สาธุ สาธุ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 11:09

เป็นพระต้นบุญต้นเเบบ ที่สมควรเอาเยี่ยงอย่าง ท่านเปี่ยมด้วยความเมตตา เเละมีความอดทนสูง กราบอนุโมทนาบุญพระอาจารย์ สาธุๆๆครับ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 18:03

อนุโมทนาสาธุค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 18:04

อนุโมทนาสาธุค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 18:08

อนุโมทนาบุญค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 20:36

ชีวิตการสร้างบารมีของหลวงพี่มีเรื่องราวประสบการณ์ที่ได้ข้อคิดมากมายเลยค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 23:21

สาธุ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ

Reply
avatar
2 ตุลาคม 2559 เวลา 23:21

สาธุ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ

Reply
avatar
3 ตุลาคม 2559 เวลา 06:22

ขอถวายกำลังใจแด่พระอาจารย์เจ้าค่ะ พุทธบุตรผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านเป็นเนื้อนาบุญอย่างแท้จริงของชาวบ้านระแวกนั้นนะคะ ขอกราบอนุโมทนาบุญเจ้าค่ะ สาธุ

Reply
avatar
3 ตุลาคม 2559 เวลา 06:57

อนุโมทนาบุญสาธุค่ะ

Reply
avatar
3 ตุลาคม 2559 เวลา 06:57

อนุโมทนาบุญสาธุค่ะ

Reply
avatar
3 ตุลาคม 2559 เวลา 06:57

อนุโมทนาบุญสาธุค่ะ

Reply
avatar
3 ตุลาคม 2559 เวลา 06:58

อนุโมทนาบุญสาธุค่ะ

Reply
avatar
3 ตุลาคม 2559 เวลา 18:02

แม้จะลำบาก แต่ก็ไม่เคยคิดว่า อุปสรรคจะบั่นทอนหัวใจของนักสร้างบารมีได้ กราบอนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์ด้วยค่ะ

Reply
avatar
4 ตุลาคม 2559 เวลา 17:59

คงจะลำมากๆแต่น่าสนุกนะครับชีวิตแบบนี้หาไม่ได้จากเมืองที่เจริญแล้ว

Reply
avatar
6 ตุลาคม 2559 เวลา 21:37

สุดยอดนักสร้างบารมี สาธุค่ะ

Reply